Tense 12 Tense แบ่งเป็นหมวดใหญ่ๆได้ 3 หมวด คือ present tense (กาลปัจจุบัน), past tense (กาลอดีต), และ future tense (กาลอนาคต) และTense แต่ละหมวด ยังแบ่งเป็น 4 หมู่เหมือนกันหมด คือ Simple, Continuous, Perfect กับ Perfect Continuous [อาจจำว่า Simple = ธรรมดา สามัญ ไม่โลดโผน, Continuous = ติดต่อกัน ยังทำอยู่, Perfect = หาที่ติไม่ได้ เสร็จสิ้นไปแล้ว] รวมทั้งสิ้น 12 Tenses ดังนี้
1. Present Simple Tense ใช้เพื่อบอกความจริงที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน หรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นประจำทุกวัน
โครงสร้างไวยากรณ์: S + V1
ตัวอย่างประโยค:
I study at Khon Kean University. ฉันเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยขอนแก่น
The Sun rises in the east. ดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออก
He comes to her place several times a week. เขามาหาหล่อนที่บ้านสัปดาห์ละหลายครั้ง
2. Present Continuous Tense ใช้เพื่อบอกเล่าถึงสิ่งที่กำลังทำอยู่ ณ ขณะที่พูด และใช้บอกการกระทำที่ทำอย่างต่อเนื่องในช่วงเวลานี้ (ปีนี้, เดือนนี้) หรือบอกสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นเร็ว ๆ นี้ก็ได้
โครงสร้างไวยากรณ์: S + is, am, are + V ing
ตัวอย่างประโยค:
I am going to school. ฉันกำลังจะไปโรงเรียน
He is walking on the street. เขากำลังเดินอยู่บนถนน
Thanthai is preparing for final exam. แทนไทยกำลังเตรียมตัวสอบปลายภาค
3. Present Perfect Tense ใช้เพื่อบอกเล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต ต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน และจะใช้ since, for ร่วมด้วยเสมอ หรือบอกเล่าถึงสิ่งที่เพิ่งจะจบลงหมาด ๆ
โครงสร้างไวยากรณ์: S + have, has +V3
ตัวอย่างประโยค:
I have worked in New York since 2010. ฉันทำงานที่นิวยอร์กมาตั้งแต่ปี 2010
Fahmai has stayed with me for 2 years. ฟ้าใหม่อยู่กับฉันมา 2 ปีแล้ว
4. Present Perfect Continuous Tense ใช้เพื่อบอกเล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต ต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน และเน้นว่าจะทำต่อไปในอนาคตด้วย เรียกว่ามีหลักการใช้เหมือนกับ Present Perfect Tense เพียงแต่เน้นถึงความต่อเนื่องและเน้นว่าจะทำต่อไปเท่านั้นเอง
โครงสร้างไวยากรณ์: S + have/has been + V ing
ตัวอย่างประโยค:
I have been working in New York since 2010. ฉันทำงานที่นิวยอร์กมาตั้งแต่ปี 2010
Song have been living in London for 2 months. สองอาศัยอยู่ในลอนดอนมาได้ 2 เดือนแล้ว
5. Past Simple Tense ใช้เพื่อบอกความจริงที่เกิดขึ้นในอดีต และตอนนี้ทุกอย่างก็ได้จบลงแล้ว
โครงสร้างไวยากรณ์: S + V2
ตัวอย่างประโยค:
I lived in New Zealand. ฉันเคยอยู่ที่ประเทศนิวซีแลนด์
My Son called me last night. ลูกชายโทรมาหาฉันเมื่อคืน
6. Past Continuous Tense ใช้เพื่อบอกเล่าถึงสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในช่วงเวลาหนึ่งในอดีต หรือบอกเหตุการณ์หนึ่งในอดีตที่กำลังดำเนินอยู่ ก่อนที่อีกเหตุการณ์จะเกิดขึ้น
โครงสร้างไวยากรณ์: S + was, were + V ing
ตัวอย่างประโยค:
I was working all day yesterday. ฉันยุ่งทั้งวันเลยเมื่อวานนี้
When I opened the door, my father was watching TV. ตอนผมเปิดประตูเข้าบ้าน พ่อผมกำลังดูทีวีอยู่
7. Past Perfect Tense ใช้เพื่อบอกเล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่แน่ชัด หรือใช้เพื่อบอกเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่พร้อมกันในอดีต โดยจะใช้ Past Perfect Tense กับเหตุการณ์ที่เกิดก่อนเสมอ ส่วนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทีหลังใช้ Past Simple Tense
โครงสร้างไวยากรณ์: S + had +V3
ตัวอย่างประโยค:
Two students had gone before the teacher came to the room. นักเรียน 2 คนออกไปจากห้องแล้ว ก่อนที่ครูจะเข้ามา
Before I met her, I had met Seven. ก่อนที่ฉันจะเจอเธอ ฉันเจอเซเว่น
8. Past Perfect Continuous Tense ใช้เพื่อบอกเล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงเวลาหนึ่งในอดีต และได้สิ้นสุดลงแล้ว เรียกว่ามีหลักการใช้เหมือนกับ Past Perfect Tense เพียงแต่เน้นถึงความต่อเนื่องชัดเจนขึ้น
โครงสร้างไวยากรณ์: S + had been + V ing
ตัวอย่างประโยค:
I had been painting the wall before the dog scratched it. ฉันทาสีกำแพงก่อนที่เจ้าหมาจะมาขีดข่วนมัน
My father had been smoking for 5 years before I was born. พ่อฉันสูบบุหรี่จัดเป็นเวลา 5 ปี ก่อนที่ฉันจะเกิด
9. Future Simple Tense ใช้เพื่อบอกความตั้งใจ หรือเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
โครงสร้างไวยากรณ์: S + will, shall + V1
ตัวอย่างประโยค:
I will go to Japan next two weeks. ฉันจะไปญี่ปุ่นในอีกสองสัปดาห์ข้างหน้า
I will send you my pictures tonight. ฉันจะส่งรูปฉันให้ดูคืนนี้
10. Future Continuous Tense ใช้เพื่อบอกเล่าถึงสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอย่างแน่นอนในช่วงเวลาหนึ่งในอนาคต และใช้กับเหตุการณ์หนึ่งในอนาคตที่จะเกิดขึ้น ก่อนที่อีกหนึ่งเหตุการณ์จะเกิดตามมา
โครงสร้างไวยากรณ์: S + will be + V ing
ตัวอย่างประโยค:
I will be studying in tomorrow morning. พรุ่งนี้ตอนเช้า ผมคงจะกำลังเรียนอยู่
I will be working when you finish your work. ผมคงจะกำลังทำงานอยู่ เมื่อคุณเลิกงานแล้ว
11. Future Perfect Tense ใช้เพื่อบอกเล่าถึงเหตุการณ์ที่คาดว่าจะสิ้นสุดลงในช่วงเวลาหนึ่งในอนาคต หรือใช้กับเหตุการณ์หนึ่งที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต ก่อนที่อีกเหตุการณ์หนึ่งจะเกิดขึ้นตามมา
โครงสร้างไวยากรณ์: S + will + have + V3
ตัวอย่างประโยค:
Apple will have launched its new iPhone by 2015. แอปเปิลจะเปิดตัวไอโฟนรุ่นใหม่ภายในปี 2015
My father will have gone when I get up. เมื่อฉันตื่น พ่อฉันก็คงไปแล้ว
12. Future Perfect Continuous Tense ใช้เพื่อบอกเล่าถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในช่วงเวลาหนึ่งในอนาคต และก็จะดำเนินต่อไปอีกหลังจากนั้น หรือใช้เหมือนกับ Future Perfect Tense แต่เน้นความต่อเนื่องของการกระทำหนึ่งในอนาคต
โครงสร้างไวยากรณ์: S + will/shall + have been + V ing
ตัวอย่างประโยค:
By the next year, I will have been working for 10 years. ผมจะทำงานครบ 10 ปีในปีหน้านี้
In ten minutes I will have been waiting 1 hour for the bus. อีก 10 นาที ผมจะรอรถเมล์ครบ 1 ชั่วโมงพอดี
สรุปภาพรวมโครงสร้างของ Tense อีกครั้ง ดังนี้
1. Present Simple | S + V 1 (s, es) |
2. Present Continuous | S + is, am, are + Ving |
3. Present Perfect | S + has, have + V3 |
4. Present Perfect Continuous | S + has, have + been + Ving |
5. Past Simple | S + V2 |
6. Past Continuous | S + was, were + Ving |
7. Past Perfect | S + had + V3 |
8. Past Perfect Continuous | S + had + been + Ving |
9. Future Simple | S + will, shall + V1 |
10. Future Continuous | S + will, shall + be + Ving |
11. Future Perfect | S + will, shall + have + V3 |
12. Future Perfect Continuous | S + will, shall + have been + Ving |
และขอยกตัวอย่างหลักการใช้ Tense (จาก Verb คำว่า study) พร้อมกับความหมายในประโยค ตาม Tense ดังนี้
1. Present Simple – I study English everyday. เรียนทุกวัน
2. Present Continuous – I am studying English now. ขณะนี้กำลังเรียน
3. Present Perfect – I have studied English in different schools. ได้เรียนมาหลายแห่งแล้ว การใช้ Present Perfect แสดงว่านี้เลิกเรียนก่อนหน้านี้แล้ว แต่ไม่ได้กำหนดแน่ว่าเลิกไปเมื่อไหร่แน่ (ต่างกับ Past Perfect ตรงที่แบบหลังนี้จะบ่งแน่นอนว่าเลิกเมื่อไหร่)
4. Present Perfect Continuous – I have been studying English for five years. เรียนมา5 ปีแล้ว ตอนนี้ก็ยังเรียนอยู่
5. Past Simple – Two years ago I studied English in Bangkok. เมื่อสองปีที่แล้วเรียนที่กทม. ตอนนี้เลิกไปแล้ว
6. Past Continuous – I was studying English when you called this morning. เมื่อเช้า(อดีต)ตอนคุณโทร.มากำลังเรียนอยู่ อดีตก็จริงแต่ตอนนั้นกำลังเรียนอยู่
7. Past Perfect – I had studied English before I went to Australia. เรียนก่อนไปออสเตรเลีย ใช้ Past Perfect ในเมื่อการเลิกกระทำนั้นมีจุดแน่นอน ในที่นี้การไปออสเตรเลียเป็นจุดจบ ต่างกับ Present Perfect ข้างต้น
8. Past Perfect Continuous – I had been studying English for five years before going to Australia. ก่อนไปออสเตรเลียได้เรียนอยู่ 5 ปี แสดงว่าตอนนั้นกำลังเรียนอยู่แต่มาเลิกตอนไป ไม่ค่อยแตกต่างกับ Past Perfect (I had been studying English … กับ I had studied English … ความหมายไม่ต่างกันนัก ตอนนั้นเรียนอยู่ กับ ตอนนั้นกำลังเรียนอยู่)
9. Future Simple – I shall study English next year. ปีหน้าจะเรียน
10. Future Continuous – I shall be studying English when you visit me tomorrow. พรุ่งนี้(อนาคต)เวลาคุณมาหาจะกำลังเรียนอยู่
11. Future Perfect – I shall have studied all the tenses by the time I finish reading this. กว่าจะอ่านนี่จบ(อนาคต)ก็เรียนรู้เรื่อง tense หมดแล้ว
12. Future Perfect Continuous – I shall have been studying English for over two hours by the time you see me. กว่าคุณจะพบผม ผมก็จะเรียนภาษาไปกว่าสองชม.แล้ว ไม่ต่างกับ Future Perfect ที่ว่า I shall have studied English for over two hours by the time you see me. เท่าไหร่นัก
ท้ายที่สุดนี้ ก็หวังว่า หลักการใช้ Tense พร้อมตัวอย่างที่หยิบยกมาให้ดูนี้ จะทำให้ทุกท่านได้เข้าใจวิธีการใช้ Tense กันมากขึ้นนะครับ ขอให้พยายามทำความเข้าใจ เพื่อให้สามารถนำไปใช้ได้อย่างถูกต้อง โชคดีในการสอบครับ
เรียบเรียงใหม่จาก
1. http://education.kapook.com/view51089.html
2. https://www.gotoknow.org/posts/454204
ภาพประกอบจาก : https://gangzadream.files.wordpress.com/2013/01/cropped-19_11.jpg