IELTS คืออะไร
IELTS คือ ชื่อย่อของระบบการวัดผลภาษาอังกฤษนานาชาติ (International English Language Testing System) ซึ่งเป็นระบบทดสอบความรู้ภาษาอังกฤษ สำหรับผู้ที่ไม่ได้ใช้ ภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่ แต่มีความประสงค์ ที่จะใช้ภาษาอังกฤษในการศึกษาต่อ
IELTS เป็นระบบวัดผลภาษาอังกฤษสำหรับการศึกษาต่อ ชนิดเดียวที่ให้ความสำคัญต่อการใช้ภาษาอังกฤษ ทั้ง 4 ทักษะ คือ ฟัง พูด อ่าน เขียน โดยให้ คะแนนแต่ละทักษะแยกจากกัน สามารถวัดผลได้ชัดเจน แม่นยำ และ ถูกต้องตรงกับระดับ ความสามารถ ในการใช้ ภาษาที่แท้จริงของผู้สอบ นอกจากนี้ ข้อสอบยังแบ่งออกเป็น 2 ชุด ตามระดับการศึกษาที่ต้องการจะศึกษา ซึ่งนับเป็นการวัดผล ที่ช่วยให้สถานศึกษามีข้อมูลที่ละเอียดเกี่ยวกับ ความสามารถเฉพาะของนักศึกษา แต่ละคน โดยเฉพาะ อย่างยิ่ง เมื่อพิจารณาถึงระดับ การศึกษา ข้อสอบทั้ง 2 ชุด คือ
1. Academic Module สำหรับผู้ที่ต้องการเรียนต่อในระดับอุดมศึกษา หรือ สูงกว่า ในทุก ๆ สาขา
2. General Training Module สำหรับผู้ที่ต้องการศึกษาต่อในระดับที่ต่ำกว่าปริญญาตรี ระดับ มัธยมศึกษา หลักสูตรระยะสั้น และหลักสูตรฝึกอบรมต่าง ๆ ทั้งนี้ บางสถาบันต้องการให้ผู้ที่สมัคร เรียนสอบ Academic Module อันเนื่องมาจากความยากง่ายของสาขาวิชา ซึ่งผู้สมัครจะต้องสอบถามโดยตรงกับทางสถาบัน
ลักษณะข้อสอบ IELTS
สามารถแบ่งการทดสอบ ออกเป็นสองช่วง ช่วงเช้าสอบข้อเขียน ใช้เวลา 2 ชั่วโมงครึ่ง ทดสอบการอ่าน 1 ชั่วโมง เขียน 1 ชั่วโมง และ ฟัง 30 นาที ช่วงบ่าย สอบสัมภาษณ์รายบุคคล ใช้เวลา คนละ ประมาณ 10-15 นาที ซึ่งจะจัดสอบครั้งละ 26 คน
การสอบ IELTS การฟัง
การสอบฟังใช้เวลา 30 นาที โดยมีคำถามทั้งหมด 40 ข้อ และมีด้วยกัน 4 ส่วน สองส่วนแรกนั้นจะเป็นเรื่องในชีวิตประจำวันจะเป็นการสนทนาระหว่างคนสองคน หลังจากนั้นก็จะเป็นคนพูดเพียงคนเดียว ตัวอย่างเช่น สนทนาเรื่องการวางแผนไปเที่ยว หรือ ตัดสินใจว่าจะไปไหนดีคืนนี้ และมี การพูดเกี่ยวกับการให้บริการแก่นักเรียนในมหาวิทยาลัย สองส่วนหลังจะฟังเกี่ยวกับสถานการณ์จำลอง โดยจะมีเนื้อหาหนักไปทางการศึกษาโดยจะมีบทสนทนากันระหว่างกลุ่มคนไม่เกินสี่คน หลังจากนั้นก็จะเป็น การฟังคนพูดเพียงคนเดียว ตัวอย่างหัวข้อที่จะพูด อาจเป็นการสนทนาระหว่างอาจารย์และนักเรียนเกี่ยวกับการบ้าน หรือ อาจจะเป็นการคุยกันในกลุ่มนักเรียน สองสามคน ปรึกษากันเรื่องหัวข้อทำวิจัย และ เลคเชอร์ หรือ การพูดแนววิชาการ
ในการสอบไม่มีผู้สอบคนใดได้เปรียบเสียเปรียบ ทั้งนี้เพราะว่า หัวข้อที่นำมาใช้ในการสอบนั้นจะเป็นหัวข้อทั่วไป ไม่เน้นไปในวิชาใดวิชาหนึ่ง ความยากจะค่อยๆเพิ่มขึ้นเรื่อยในแต่ละส่วน สำเนียงภาษาอังกฤษที่ใช้ในการ สอบนั้นจะมีหลากหลายด้วยกัน รวมทั้งสำเนียงท้องถิ่น
คำถามข้อสอบ IELTS จะมีลักษณะใดลักษณะหนึ่ง ต่อไปนี้
– ปรนัย
– ตอบคำถามสั้นๆ
– เติมคำในประโยค
– ให้โน๊ต ย่อ หรือ วาดไดอะแกรม flow chart หรือ เติมคำในตารางให้สมบูรณ์
– ให้เขียนในไดอะแกรม ว่า แต่ละส่วนที่มีเลขเขียนไว้ หมายถึงอะไร
– จับคู่
– เรียงลำดับ
การสอบฟังนั้น จะ มีการเปิดให้ฟังเพียงรอบเดียวเท่านั้น ขณะที่ฟังผู้เข้าสอบต้องอ่านคำถามและเติมคำตอบในกระดาษคำถามไปพร้อมๆกัน เมื่อฟังเทปเสร็จเรียบร้อย จะมีเวลาให้ นำย้ายคำตอบจากในกระดาษมาเขียนลงในกระดาษคำตอบ
การสอบ IELTS การอ่าน สำหรับ Academic Reading
มีคำถามทั้งสิ้น 40 คำถาม ให้ทำในเวลา 60 นาที โดยจะมีเรื่องสั้นๆ ให้อ่านสามเรื่องด้วยกัน ความยาวโดยรวมประมาณสองพันถึงสองพันเจ็ดร้อยห้าสิบคำ เนื้อหานั้นจะมาจาก นิตยสารวารสาร หนังสือ และ หนังสือพิมพ์ และมีเนื้อหาเหมาะสำหรับบุคคลทั่วไป ในจำนวนนี้ จะมีอย่างน้อยหนึ่งเรื่องที่เกี่ยวกับ การแสดงความเห็น และอาจจะมีไดอะแกรม กราฟ หรือ ภาพประกอบเรื่องนั้นๆ ถ้าหากเรื่องไหนมีศัพท์เทคนิคปะปนอยู่ก็จะมีคำอธิบายไว้ให้ ข้อสอบจะเพิ่มความยากขึ้นเรื่อยๆ คำถามบางคำถามอาจจะถามก่อนอ่านเนื้อเรื่อง บางคำถามก็ถามหลังเนื้อเรื่อง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับลักษณะของคำถามนั้นๆ
ลักษณะคำถามข้อสอบ IELTS
– ปรนัย
– ตอบคำถามสั้นๆ
– เติมคำในประโยค
– ให้โน๊ต ย่อ หรือ วาดไดอะแกรม flow chart หรือ เติมคำในตารางให้สมบูรณ์
– ให้เขียนในไดอะแกรม ว่า แต่ละส่วนที่มีเลขเขียนไว้ หมายถึงอะไร
– จับคู่
– เรียงลำดับ
– ลักษณะคำถามที่มีคำตอบ ไว้จำนวนมาก ให้เลือก คำตอบที่ให้ไว้ มาเติมในช่องที่เหมาะสม
– ให้หาว่าผู้เขียนต้องการจะสื่ออะไรให้ผู้อ่าน โดย ตอบ yes / no /not given
– ให้หาว่าเนื้อเรื่องได้กล่าวเรื่องในคำถามไว้หรือไม่ โดยให้ตอบ yes/ no/ not given/ true /false/ not given
คำถาม ข้อละ หนึ่งคะแนน และ ผู้สอบควรตรวจสอบให้รอบคอบในการเขียนคำตอบลงในกระดาษคำตอบว่าสะกดได้ถูกหรือ ไม่ และ ถูกหลักไวยากรณ์หรือไม่ เพราะหากไม่ถูกจะมีการหักคะแนน
การสอบ IELTS การอ่าน สำหรับ General Training
เนื้อหาในการอ่านนั้นจะนำมาจากประกาศ โฆษณา หนังสือราชการ คู่มือ แผ่นพับ หนังสือพิมพ์ ตารางเวลา หนังสือ หรือ นิตยสาร โดย ส่วนแรกนั้นจะเป็นเรื่อง สังคม ทั่วไป ภาษาที่เข้าใจง่ายแล้วจะค่อยเพิ่มความยาก ในส่วนของเนื้อหาและการใช้ภาษา ขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเริ่มขึ้นส่วนที่สอง สาม สี่
การสอบ IELTS การเขียน Academic Writing
มีเวลาในการเขียนหกสิบนาที และมีสองหัวข้อที่ต้องทำ ควรใช้เวลาในส่วนแรกประมาณยี่สิบนาที และเขียนอย่างน้อยร้อยห้าสิบคำ ส่วนที่สองนั้นควรใช้เวลาประมาณสี่สิบนาที และเขียนอย่างน้อยสองร้อยห้าสิบคำ
ในส่วนแรกนั้น ผู้เข้าสอบจะต้องเขียนอธิบาย เกี่ยวกับ ไดอะแกรม หรือ ตาราง ที่มีไว้ให้การทดสอบส่วนนี้เพื่อที่จะวัดความสามารถในการจัดข้อมูล และการเปรียบเทียบข้อมูลและความสามารถในการอธิบายขั้นตอนต่างๆ รวมถึงการจัดลำดับเหตุการณ์ก่อนหลัง และอธิบายการทำงานของสิ่งต่างๆ
ในส่วนที่สองนั้น จะเป็นการแสดงความคิดเห็น ในประเด็นต่างๆที่กำหนดให้ ทั้งนี้เพื่อวัดความสามารถ ในการแก้ปัญหา และสามารถแสดงความคิดเห็นได้อย่างสมเหตุสมผล สามารถเปรียบเทียบและชี้ข้อแตกต่างของเหตุการณ์ ความเห็น หัวข้อที่นำมาให้เขียนนั้นง่ายต่อการเข้าใจ ทั้งสำหรับนักศึกษาระดับปริญญาตรี หรือ กำลังจะเรียนต่อในระดับสูงกว่า ในส่วนของ General Training Writing นั้น จะมีแตกต่างก็ คือ ในส่วนแรกจะได้ คำถามที่มีลักษณะเป็นจดหมายที่เขียนขอข้อมูล หรือ อธิบายสถานการณ์ และให้ เราเขียนตอบ ทั้งนี้เพื่อวัดความสามารถในการสื่อสารโต้ตอบระหว่างบุคคลและ แสดงความรู้สึกว่า ชอบหรือไม่ชอบ ความต้องการ และแสดงความคิดเห็นได้
ในส่วนที่สองนั้นผู้สอบต้องแสดงทัศนะ หรือ ไม่ก็ให้ อภิปรายโต้แย้ง หรือ แสดงปัญหา ในหัวข้อที่ให้ไว้ ทั้งนี้เพื่อวัดความสามารถในการวิเคราะห์ข้อมูล การวางโครงร่างของปัญหาและเสนอแนะแนวทางแก้ปัญหา เสนอและชั่งน้ำหนักของความคิดเห็น บทความ หรือ ทฤษฎีต่างๆ ว่าน่าเชื่อถือมากน้อยขนาดไหน ในการเขียนทั้งสองแบบต้องเขียนตอบในกระดาษคำตอบเท่านั้นหากเขียนในกระดาษ คำถามจะได้รับการตรวจ การให้คะแนนก็จะให้น้ำหนักของส่วนที่สอง มากกว่า ส่วนที่หนึ่ง
การให้คะแนนส่วนที่หนึ่ง จะให้จาก
– Task Fulfilment
– Coherence
– Cohesion
– Vocabulary
– Sentence Structure
การให้คะแนนส่วนที่สอง จะให้จาก
– Arguements
– Ideas
– Evidence
– Communicative Quality
– Vocabulary
– Sentence Structure
ทั้งนี้หากเขียนต่ำกว่า จำนวนน้อยที่สุดที่กำหนดไว้ จะถูกหักคะแนน
การสอบ IELTS การพูด
การสอบพูด นั้นจะใช้เวลา ตั้งแต่ สิบเอ็ดถึงสิบสี่นาที จะเป็นการสัมภาษณ์ระหว่าง ผู้เข้าสอบและเจ้าหน้าที่ เป็นการทดสอบความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสาร การสอบสัมภาษณ์นั้นจะแบ่งออกเป็นสามส่วนด้วยกัน
ส่วนที่หนึ่ง ผู้เข้าสอบจะตอบคำถามทั่วไปเกี่ยวกับตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น เรื่อง บ้าน ครอบครัว การงาน การเรียน ความสนใจ ซึ่งจะเป็นเรื่องใกล้ตัวเรา ซึ่งจะใช้เวลาประมาณสี่ถึงห้านาที
ส่วนที่สอง ผู้เข้าสอบจะต้องพูดตามหัวข้อที่ได้รับในการ์ด โดยจะมีเวลาเตรียมตัว หนึ่งนาที และพูดประมาณสองนาที จากนั้นเจ้าหน้าที่จะถามคำถามหนึ่งหรือสองคำถามเกี่ยวกับเรื่องที่เราพูด
ส่วนที่สามนั้น ก็จะเป็นการถกปัญหากันระหว่างเจ้าหน้าที่และผู้เข้าสอบ หัวข้อนั้นก็จะเกี่ยวๆ กับที่ได้รับในส่วนที่สอง ซึ่งจะใช้เวลาประมาณสี่ถึงห้านาทีการสัมภาษณ์จะมีการบันทึกไว้ด้วยเทปบันทึก เสียง
รายงานผลสอบ IELTS
ผลสอบจะออกมาหลังการสอบประมาณ 5-7 วัน รับได้ตั้งแต่เวลา บ่ายโมงตรง โดยผู้รับต้องนำบัตรประจำตัวหรือ หลักฐานแสดงว่าเป็นผู้เข้าสอบ เพื่อขอรับผลสอบ สำหรับผู้ที่ต้องการผลสอบด่วนพิเศษภายในสามวัน ให้แจ้งแก่ศูนย์สอบล่วงหน้าสิบสี่วัน พร้อมจ่ายค่าธรรมเนียมสามร้อยบาท ผลสอบนั้นสามารถเก็บผลสอบไว้ได้ 2 ปี ในใบรายงานผล จะระบุคะแนนความสามารถทั้ง 4 ทักษะและ คะแนนเฉลี่ย โดยแบ่งคะแนนออกเป็น 9 ระดับจากสูงไปต่ำ ดังต่อไปนี้
ระดับ 9 หมายถึง ผู้สอบมีระดับการใช้ภาษาอังกฤษ ดีเลิศ สามารถใช้ภาษาได้อย่าง คล่องแคล่ว ถูกต้องแม่นยำ มีความเข้าใจภาษาดีเยี่ยม ใกล้เคียงเจ้าของภาษา
ระดับ 8 หมายถึง ผู้สอบมีระดับการใช้ภาษาอังกฤษ ดีมาก สามารถใช้ภาษาได้อย่าง คล่องแคล่ว ถูกต้อง ความผิดพลาด และความไม่เหมาะสม เกิดขึ้นเพียงเล็กน้อย
ระดับ 7 หมายถึง ผู้สอบมีระดับการใช้ภาษาอังกฤษดี แต่ยังมีความผิดพลาด และเข้าใจผิดบางโอกาสใช้ภาษาในลักษณะซับซ้อนได้ดี
ระดับ 6 หมายถึง ผู้สอบมีระดับการใช้ภาษาอังกฤษ ใช้งานได้ สามารถสื่อสาร และเข้าใจ ภาษาอังกฤษ สามารถใช้ภาษา ในลักษณะซับซ้อนได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในสถานการณ์ที่คุ้นเคย
ระดับ 5 หมายถึง ผู้สอบมีระดับการใช้ภาษาอังกฤษ ปานกลาง สามารถสื่อสารได้ ในระดับพื้นฐาน แต่ยังใช้ภาษาผิดบ่อยๆ
ระดับ 4 หมายถึง ผู้สอบมีระดับการใช้ภาษาอังกฤษจำกัด สามารถใช้ภาษา ในลักษณะสถานการณ์ที่คุ้นเคยเท่านั้น
ระดับ 3 หมายถึง ผู้สอบมีระดับการใช้ภาษาอังกฤษ จำกัดมาก รู้ความหมายกว้าง ๆ และเฉพาะคำที่คุ้นเคยเท่านั้น
ระดับ 2 หมายถึง ผู้สอบมีระดับการใช้ภาษาอังกฤษอยู่ในขั้น คำพื้นฐาน ไม่สามารถสื่อสารได้ พูดได้เป็นคำๆเท่านั้น
ระดับ 1 หมายถึง ผู้สอบเป็นผู้ที่ไม่รู้ภาษาอังกฤษ ใช้ภาษา ไม่ได้เลย
การเตรียมตัวสอบ IELTS สำหรับผู้ที่สนใจจะสอบ IELTS สามารถเตรียมตัวสอบ โดยอาจทำตามข้อเสนอแนะ ดังต่อไปนี้
1. ฝึกฝนด้านเวลา ปัญหาที่สำคัญที่สุดในการสอบของนักเรียน นักศึกษาส่วนใหญ่คือ เวลา ดังนั้น จึงควรฝึกการอ่าน และเขียน ในเวลาที่จำกัด อยู่ตลอดเวลา เพื่อให้คุ้นเคยกับเลาที่จำกัดในการสอบ
2. ฝึกฝนความแม่นยำ ความรวดเร็วเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอต่อการสอบ IELTS นักศึกษา ควรฝึกฝนการใช้ภาษาที่ถูกต้องด้วย ซึ่งอาจทำได้โดยการฝึกในหนังสือคู่มือภาษาอังกฤษต่างๆ
3. การหาความรู้เพิ่มเติม นักศึกษาควร หาความรู้เพิ่มเติมอยู่เสมอ ในปัจจุบันสื่อต่างๆ ที่ใช้ภาษาอังกฤษในประเทศไทยมีหลายอย่างไม่ว่าจะเป็นรายการโทรทัศน์ วิทยุ หรือแม้กระทั่งนิตยสารและเอกสารต่างๆ
4. มีความเชื่อมั่น พยายามอย่าวิตกกังวลกับการสอบมากนัก เพราะมันจะทำให้เราประหม่าและตื่นเต้นกับการสอบ ซึ่งอาจมีผลต่อการทำข้อสอบ ควรจะขจัดความวิตกกังวลทั้งหลาย พยายามทำจิตใจให้สบาย สร้างความเชื่อมั่นให้กับตนเอง การทดลองสอบก่อนสอบจริง ก็เป็นวิธีหนึ่ง ที่ทำให้นักศึกษาคุ้นเคยกับข้อสอบ ขั้นตอนและบรรยากาศในการสอบ ผู้สอบควรจะพิจารณาเรื่องวันสอบให้ดี เพราะการสอบแต่ละครั้งจะต้องเว้นระยะห่างกันอย่างน้อย 3 เดือน
ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมที่ : [http://www.ielts.org/]
หมายเหตุ : ผู้เขียนเรียบเรียงจากประสบการณ์การสอบ IELTS ของตนเองและข้อมูลบางส่วนจากเว็บไซต์หลายแห่งในช่วงเตรียมสอบ IELTS (ไม่ได้ระบุไว้ ณ ที่นี้ จึงขออภัยและขอขอบพระคุณเจ้าของเนื้อหาบางส่วนประกอบเนื้อหาข้างต้น ไว้ ณ โอกาสนี้)