ในโอกาสที่ผมปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งผู้อำนวยการสถานศึกษาในโรงเรียนมัธยมศึกษาขนาดเล็ก ณ โรงเรียนตาเบาวิทยา สพม.33 จังหวัดสุรินทร์ ครบ 1 ปี ในวันที่ 21 สิงหาคม 2560 (22 สิงหาคม 2559 – 21 สิงหาคม 2560) จึงขอถือโอกาสเปิดใจ บันทึกมุมมอง ความคิดที่เกิดขึ้นในรอบ 1 ปี ตลอดจนแถลงผลงานการบริหารโรงเรียนในโอกาสครบ 1 ปีเอาไว้ เพื่อสรุปงาน ทบทวนตัวเอง และเป็นบทเรียนให้กับผู้มาภายหลังได้ศึกษา ดังนี้
ผมมาปฏิบัติราชการที่โรงเรียนตาเบาวิทยา อย่างผิดความคาดหวังเล็กน้อยเพราะเดิมคิดว่าคงจะเป็นโรงเรียนอื่นใกล้บ้าน โรงเรียนนี้อยู่ห่างบ้านผมมากเกินไป แต่ก็เป็นโชคดีที่สุดของผม ที่เพื่อนร่วมงานใหม่ที่โรงเรียนแห่งนี้ เป็นผู้ที่รักในการพัฒนาตนเอง ให้เกียรติ เคารพในบทบาทและหน้าที่ของกันและกัน ชุมชนก็ให้การสนับสนุนอย่างดี โดยตลอด 1 ปีที่ผ่านมา ผมยังไม่มีปัญหาหนักใจ หรือมีเรื่องกินแหนงแคลงใจอะไรกันกับเพื่อนร่วมงาน ประกอบกับโรงเรียนก็มีผลงานในรอบ 1 ปีนี้ จากนักเรียน ครูและผู้บริหาร ที่สามารถโชว์เป็นความภาคภูมิใจได้ไม่อายใครด้วย
คลิก >> [ผลงานนักเรียน ครู ผู้บริหารโรงเรียนตาเบาวิทยา ในรอบ 1 ปี]
หากจะพูดถึงข้อดีของการเป็นผู้บริหาร และหลายคนก็มักถามผมเสมอว่า “เป็น ผอ.แล้วดีไหม” ผมตอบได้อย่างหนักแน่นว่า ดีครับ เพราะตอนผมเป็นครู ผมทำงานเพื่อเด็กเพียงลำพังคนเดียว หรืออาจมีคนอื่นช่วยบ้างอีก 1-2 คน แต่เมื่อเป็นผู้บริหาร มีครู (ที่รักและศรัทธาในวิชาชีพครู) ช่วยผมทำงานเพื่อเด็กได้หลายคน หลายกลุ่มเป้าหมาย ทั้งดนตรี กีฬา ศิลปะ และวิชาการ นอกจากนี้ ก็ยังได้ทำงานกับผู้คนอีกระดับหนึ่ง ซึ่งตอนที่ผมเป็นครู ผมเข้าไม่ถึง ทำนองเดียวกัน เจ้านายมีตำแหน่งใหญ่โตกว่านี้ ก็คงต้องทำงานเกี่ยวข้องกับคนอีกระดับหนึ่ง ซึ่งคนเป็น ผอ.โรงเรียนอย่างผมเข้าไม่ถึงเช่นกัน ผมได้ประสานงานและเกี่ยวข้องกับผู้นำชุมชน พระสงฆ์ ฝ่ายปกครอง ตลอดจนผู้แทนบริษัท ห้างร้านต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับโรงเรียนหลายกลุ่ม ผมรู้จักเขา เขาก็รู้จักผมบางทีมากกว่าที่ผมรู้จักตัวเองด้วย และคงจะดีถ้าคนที่ผมรู้จัก และเขารู้จักผมจะอยู่ในพื้นที่บ้านเกิดของผมเอง เผื่อเวลาเกษียณอายุราชการไป ผมจะยังคงมีคนรู้จักและทักทายกันบ้าง
หากจะพูดถึงข้อด้อยของการเป็นผู้บริหาร ที่อยากให้คุณครูเข้าใจคนเป็น ผู้บริหารเช่นกันคือ “ผอ. เหนื่อยครับ” … ก่อนเข้ามาเป็นผู้บริหารผมคิดว่า การเป็น ผอ. ไม่น่าจะเหนื่อยมาก แต่เอาเข้าจริงผมการันตีได้ว่า ตอนเป็นครูสบายมาก ทำงานหน้าเดียว ถึงเวลากลับบ้าน ทำงานอื่นๆ ได้เพียบ อดหลับอดนอนหน่อยตอนทำงานกับเด็กเวลาจะส่งงานเข้าประกวด แต่การเป็น ผอ.นั้น “เหนื่อยโคตรๆ” เพราะมีหลายเรื่องให้วางแผน ตัดสินใจและสั่งการ ตลอดจนมีหลายงานที่ไม่เกี่ยวโดยตรงกับการบริหารจัดการในโรงเรียนจะต้องเข้าร่วม ทั้งในเวลาและนอกเวลาราชการ จึงทำให้เวลาที่จะอยู่กับครอบครัวก็ลดลงไปกว่าเดิมมาก เพราะต้อง ไป… ไป… ไป คนในครอบครัวของคนที่เป็นผู้บริหารสถานศึกษาจึงเป็นคนที่เสียสละมากๆ
นอกจากนี้ สำคัญที่สุดคือ เงินในกระเป๋าของผมพร่องลงกว่าเดิมมาก เพราะมีค่าใช้จ่ายหลายรายการที่ต้องควักต้องจ่าย ถ้าไม่มีรายได้ส่วนตัวจากกิจการอื่นๆ สนับสนุน ก็คงลำบากมากๆ คิดถึงตอนเป็นครูเงินเหลือต่อเดือนหลักหมื่น พอมาเป็นผู้บริหาร เงินพร่องต่อเดือนหลายพันครับ คนจะมาเป็นผู้บริหารใหม่ขอให้ตระหนักในเรื่องนี้ไว้ด้วยครับ
มาถึงจุดนี้ ถามว่ามีความสุขไหม … ก็คิดว่ามีความสุขที่ได้ทำอะไรใหม่ๆ ไปเรื่อยๆ และถ้าสิ่งที่ทำตอบโจทย์ความต้องการในชีวิตของตนเองอยู่บ้าง ตราบเท่าที่ยังไม่บรรลุความตั้งใจที่มี ระหว่างการเดินทางก็มีความสุขครับ โดยพยายามสร้างสมดุลทุกส่วนให้ก้าวไปพร้อมกันอย่างดีที่สุด ทั้งความก้าวหน้าในงาน สุขภาพกายใจ ฐานะทางเศรษฐกิจ การศึกษาของลูกและความสุขของคนในครอบครัว
ท้ายที่สุด ผมก็ไม่ทราบจริงๆ หรอกว่า เพื่อนร่วมงานของผมนั้นคิดกับผมอย่างไร แต่สำหรับผมก็ไม่สำคัญมากเช่นกัน เพราะคงไม่มีใครที่จะสนับสนุนเราทั้งหมด แต่อย่างน้อยที่สุด ระหว่างที่เราทำงานด้วยกัน แต่ละคนทำงานตามบทบาทและหน้าที่ของตนเองอย่างดีที่สุด เพื่อนักเรียน สิ่งที่จะได้รับก็คือ win-win-win คือ ทุกคนชนะ ทุกคนสำเร็จ เด็กก้าวหน้า ครูก้าวหน้า ผอ.ก็ก้าวหน้า ถ้าผิดจากนี้ แสดงว่า ไม่ใครก็ใครกำลังสร้างปัญหาให้กับระบบ ซึ่ง 1 ปีที่ผ่านมายังไม่เกิดขึ้น หวังว่าปีที่ 2 ของผม จะมีความสุขและความสำเร็จมากกว่า 1 ปีที่ผ่านมา
อย่าลืมให้กำลังใจและติดตามกันต่อไปครับ
คลิก >> [สรุปการไปราชการและปฏิบัติราชการ ผอ.ตาเบาวิทยา ปีการศึกษา 2559]
คลิก >> [สรุปการไปราชการและปฏิบัติราชการ ผอ.ตาเบาวิทยา ปีการศึกษา 2560]